Default

สิ่งที่แฟนบอลไทยต้องรู้ก่อนการฟาดแข้งศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปยูโร2020 -2021

ศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป หรือ ยูโร 2020 ต้องเลื่อนการแข่งขันจากกำหนดเดิมเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา เลื่อนมาจัดฟาดแข้งปี 2021 ดังนั้นถ้าจะเรียกชื่อร่วมๆ ว่า ยูโร 2020 – 2021 ก็เรียกได้ไม่ผิด ซึ่งการแข่งขันจะมีจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน ถึง 11 กรกฎาคม 2021 ภายใต้การเวียนเป็นเจ้าภาพร่วมของ 12 ประเทศ และนี้คือสิ่งที่แฟนบอลชายไทยความรู้เพื่อเตรียมตัวรับความมันส์กับ Fun88 กันได้เลย

ยูโร 2020 – 2021 ถ่ายทอดสดช่องไหน?

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบสุดท้ายจัดฟาดแข้งกันในช่วงระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคม 2021 โดยนัดเปิดสนามอย่างเป็นทางการคือการพบกันระหว่าง ตุรกี พบ อิตาลี ณ สตาดิโอ โอลิมปิโก กรุงโรม และนัดชิงชนะเลิศจะจัดในวันที่ 12 กรกฎาคม 2021 ณ สนาม เวมบลีย์ กรุงลอนดอน

ในขณะที่โปรแกรมถ่ายทอดสด ยูโร 2020 ของประเทศไทยเรายังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเจ้าใดจะผู้ได้รับสิทธิ์ โดยข้อมูลมีชื่อของ บีอิน สปอตส์ (beIN Sports) สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อคุ้นหูแฟนบอลชาวไทย ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดสดในนิวซีแลนด์ ในขณะที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีสื่อท้องถิ่นกับเคเบิลทีวี้ได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดความมันส์ (สิงคโปร์-อีเลฟเวน สปอตส์, เวียดนาม-VTV, มาเลเซีย-แอสโตร และ อินโดนีเซีย-IMG, NNC, โมลา ทีวี) แต่ไม่มีอะไรต้องกังวลไปเพราะเชื่อมั่นว่าบรรดาสปอนเซอร์ในไทยพร้อมซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโรมาให้คอบอลชาวไทยอย่างแน่นอน

12 ประเทศ ยุโรป รวมใจในยูโร 2020 – 2021

นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ที่มีเจ้าภาพร่วมกันจัดการแข่งขันถึง 12 ชาติ ถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล จากการให้สัมภาษณ์ของ มิเชล พลาตินี  อดีตประธาน ยูฟ่า ยืนยันชัดว่าฟุตบอลยูโร 2020 – 2021 จะมี 12 ประเทศเจ้าภาพและจัดครบ 12 สนามตามหัวเมือง ซึ่งสนาม เวมบลีย์เป็นสังเวียนรอบชิงชนะเลิศ

รู้จักกับ สกิลซี มาสคอต ประจำยูโร 2020 – 2021

มาสคอตประจำทัวร์นาเมนต์ยูโร 2020 คือ สกิลซี (Skilzy) เป็นตัวการ์ตูนเด็กผู้ชายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฟุตบอลสตรีทฟุตบอล, ฟรีสไตล์ และวัฒนธรรมการเตะบอลลอดหว่างขาคู่แข่ง โดยทาง ยูฟ่า ยังมีการจัดการแข่งขันฟุตบอลฟรีสไตล์เพื่อหานักเตะเจ๋งๆ รับเลือกเป็นตัวแทนของแต่ละเมืองเจ้าภาพ ให้ได้ทำหน้าที่ร่วมกับมาสคอตอีกด้วย

นัดล้างตารอบตัดเชือกฟุตบอลโลก 2018 และ กรุ๊ป ออฟ เดท ที่แฟนบอลต้องจับตามอง

เรียกได้ว่าเป็นคู่บิ๊กแมตช์ตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์ยังไม่เริ่มเลยทีเดียว สำหรับ ทีมชาติอังกฤษ โคจรมาปะทะ ทีมชาติโครเอเชีย ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม D โดยทีมสิงโตคำรามกับทัพตราหมากรุก เคยดวลกันในนัดชี้ชะตาทัวร์นาเมนต์สำคัญมา คือ รอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 ผลการแข่งขันจบด้วย โครเอเชีย ชนะ อังกฤษ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ต้องมาดูกันมาเกมยูโรที่กำลังจะมาถึงนี้ผลการแข่งขันจะเป็นเช่นไร ทัพทรีไลอ้อนส์จะแก้แค้นได้สำเร็จหรือไม่ นอกจากนี้ กรุ๊ป ออฟ เดท ที่แฟนบอลต้องไม่พลาด คือ กลุ่ม F เพราะเป็นการอยู่ร่วมสายของเหล่าบิ๊กทีมทั้ง เยอรมนี, โปรตุเกส, ฝรั่งเศส แค่รอบแบ่งกลุ่มก็เดือดแล้ว ดังนั้นเตรียมตัวเจอกับความมันส์ของยูโร 2020 – 2021 ได้เลย

ฟุตบอลต่างประเทศ

ชีวิตค้าแข้งที่เกือบพังในรังงูใหญ่ของ “โรแบร์โต้ คาร์ลอส”

โรแบร์โต้ คาร์ลอส เป็นที่จดจำของแฟนบอลทั่วโลกในฐานะแบ็กซ้ายตีนระเบิดของสโมสรเรอัล มาดริดและทีมชาติบราซิล ด้วยเท้าซ้ายอันทรงพลังจนสามารถทำประตูจากระยะไกลได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสับไกยิงนอกกรอบเขตโทษ หรือแม้แต่การซอยเท้าก่อนจะสังหารฟรีคิก แต่ก่อนจะก้าวไปเป็นนักเตะระดับโลกในตำแหน่งแบ็กซ้าย กองหลังแซมบ้าเกือบหมดอนาคตสมัยเริ่มต้นค้าแข้งในทวีปยุโรปกับอินเตอร์ มิลาน ด้วยน้ำมือของรอย ฮอดจ์สัน

ช่วงซัมเมอร์ปี 1995 โรแบร์โต้ คาร์ลอส เลือกอินเตอร์ มิลานเป็นจุดหมายปลายทางในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนยุโรป หลังจากพาสโมสรบ้านเกิดอย่างพัลไมรัสเป็นดับเบิ้ลแชมป์มา 2 ปีติด ในขณะที่ รอย ฮอดจ์สัน ก็เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ในถิ่นจูเซ็ปเป้ เมียซซ่า หลังทำผลงานได้ดีในการคุมทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์

ชีวิตในอิตาลีของคาร์ลอสเต็มไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากเจ้านายใหม่อย่างฮอดจ์สันมองว่ากองหลังชาวบราซิลขาดวินัยในเกมรับไม่เหมาะกับตำแหน่งแบ็กซ้ายของทีม จึงมักใช้งาน เฟลิเซ่ เซนโตฟานติ เป็นตัวเลือกแรกในแนวรับฝั่งซ้าย แล้วโยกคาร์ลอสไปเล่นในตำแหน่งปีกแทน แม้จะทำให้กองหลังจอมบุกมีโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่คาร์ลอสกลับไม่มีความสุขในการเล่นเป็นตัวรุกริมเส้นแม้แต่น้อย เนื่องจากขณะนั้นศึกโคปา อเมริกา 1997 กำลังจะมาถึง หากยังถูกจับเล่นในตำแหน่งปีกอยู่เขาอาจต้องต่อสู้แย่งตำแหน่งกับเพื่อนร่วมทีมชาติหลายคน ในขณะที่การเล่นแบ็กซ้ายแทบจะเป็นการการันตีตัวจริงในทีมชาติให้กับเขา และแล้วเมื่อฮอดจ์สันไปดึงตัวแบ็กซ้ายอย่างอเลสซานโดร ปิสโตเน่ มาร่วมทีมก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าคาร์ลอสจะไม่มีวันได้เล่นในตำแหน่งที่ต้องการ แบ็กซ้ายบราซิลจึงตัดสินใจแยกทางกับทีมงูใหญ่หลังร่วมทีมได้เพียงปีเดียว

คาร์ลอส เลือกย้ายไปเล่นให้กับเรอัล มาดริด ทีมที่ยินดีมอบตำแหน่งแบ็กซ้ายคืนให้อย่างไม่มีข้อแม้ จนได้กลายเป็นกำลังหลักพาทีมชาติบราซิลเป็นแชมป์โคปา อเมริกา 1997 สมใจ การย้ายมาร่วมทีมราชันชุดขาวที่เน้นเกมบุกทำให้ศักยภาพของคาร์ลอสถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่ ด้วยฝีเท้าความเร็วจัดแบ็กบราซิเลี่ยนไม่เพียงเติมเกมรุกได้อย่างน่ากลัว แต่ยังสปีดลงมาคุมเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น แถมสกัดบอลได้อย่างหนักหน่วงทั้งที่ตัวเล็กกว่าแนวรุกคู่แข่ง คาร์ลอสกลายเป็นส่วนหนึ่งในทีมกาแลคติกอสที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับโลกอย่างเซเนดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้, โรนัลโด้ และเดวิด เบ็คแฮม จนผงาดคว้าแชมป์ลาลีกา 4 สมัย และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกอีก 3 สมัย

โดยตลอดทั้ง 11 ฤดูกาลในเครื่องแบบราชันชุดขาว คาร์ลอสลงเล่นทุกรายการไปทั้งสิ้น 584 นัด ยิง 71 ประตู กับอีก 88 แอสซิสต์ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นแบ็กซ้ายสายรุกที่ดีที่สุดของโลกในยุคนั้น เคียงคู่กับ เปาโล มัลดินี่ แบ็กซ้ายทีมชาติอิลาลีที่โดดเด่นในเรื่องเกมรับ ทิ้งอดีตอันขมขื่นในรังงูใหญ่เป็นเพียงความทรงจำช่วงหนึ่งในชีวิตเท่านั้น

เครดิตภาพ: https://90l.tribuna.com/images/14/d5/1f/[email protected]

ฟุตบอลต่างประเทศ

3 นักเตะระดับตำนานสโมสรที่โบกมือลาทีมเก่าด้วยตำแหน่งแชมป์

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา ไม่วันใดก็วันหนึ่งนักเตะแต่ละคนก็ต้องจากสโมสรไปไม่ว่าจะด้วยการย้ายทีมหรือแขวนสตั๊ดไม่เว้นแม้แต่นักเตะระดับตำนานสโมสร เพียงแต่การจากลาของแต่ละคนจะน่าจดจำขนาดไหนย่อมขึ้นอยู่กับผลงานในช่วงสุดท้ายกับทีม ซึ่งนี่คือ 3 นักเตะยุคปัจจุบันที่อำลาจากสโมสรเก่าไปสู่ทีมใหม่ด้วยตำแหน่งแชมป์

1. เอเดน อาซาร์ : แชมป์ยูโรปาลีก 2018-19

อาซาร์ย้ายจากลีลล์ มาอยู่กับเชลซีตั้งแต่ปี 2012 ด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์ เพียงนัดแรกที่ลงสนามเขาก็ฉายแววการเป็นสุดยอดเพลย์เมคเกอร์ทันทีด้วยการเก็บ 2 แอสซิสต์ตั้งแต่นัดประเดิมพรีเมียร์ลีก ก่อนที่จะกลายเป็นนักเตะที่ทีมสิงโตน้ำเงินครามขาดไม่ได้ในที่สุด อาซาร์ออกสตาร์ทซีซั่นแรกกับเชลซีด้วยแชมป์ยูโรปาลีกตามมาด้วยตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลถัดมา ก่อนที่จะพาทีมสิงห์บลูเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกและลีกคัพ ในฤดูกาล 2014-15 พร้อมรับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีกจากการโหวตของสมาคมนักข่าวและสมาคมนักเตะไปครอง หลังจากนั้นจอมทัพชาวเบลเยี่ยมก็นำเชลซีเป็นแชมป์เอฟเอคัพและแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกสมัย

ในฤดูกาล 2018-19 แม้จะมีข่าวอย่างหนักว่าเรอัล มาดริดต้องการตัวอาซาร์ไปทดแทนการจากไปของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่อาซาร์ก็ยังคงทุ่มเทเต็มร้อยให้กับเชลซีจนพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้าลีกได้สำเร็จ หลังจากฉลองแชมป์ได้ไม่กี่วันอาซาร์ก็เปิดตัวเป็นนักเตะใหม่ของเรอัล มาดริดทันที หยุดสถิติกับเชลซีไว้ที่ 110 ประตู กับอีก 92 แอสซิสต์ จาก 352 เกม โดยมีแชมป์ยูโรปาเป็นทั้งแชมป์แรกและแชมป์สุดท้ายในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

2. คริสเตียโน่ โรนัลโด้ : แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2017-18

หลังจากย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกถึง 80 ล้านปอนด์ โรนัลโด้ก็ลงสนามรับใช้ทีมราชันชุดขาวอย่างคุ้มค่าตัวทุกเพนนีด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย, แชมป์โคปา เดล เรย์ 2 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 4 สมัย นอกจากนั้นยังสร้างสถิติร่วมกับเรอัล มาดริดไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสรด้วยจำนวน 450 ประตู, นักเตะที่ยิงประตูในลาลีกาถึง 300 ประตูเร็วที่สุดด้วยการลงสนามเพียง 286 นัด และนักเตะคนแรกที่ยิงประตูคู่แข่งครบทุกทีมในศึกลาลีกาหนึ่งฤดูกาล เป็นต้น

ฤดูกาล 2017-18 มีกระแสข่าวหนาหูว่านี่อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายของโรนัลโด้ในถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิว เนื่องจากเขาอาจไม่ใช่นักเตะคนสำคัญชนิดที่ทีมจะขาดไม่ได้อีกต่อไปแล้วในสายตาของประธานสโมสรอย่างฟลอเรนติโน่ เปเรซ ดังนั้นเมื่อโรนัลโด้พาเรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ เขาจึงประกาศแยกทางกับทีมราชันชุดขาวทันที ปิดฉากตำนานกับเรอัล มาดริดด้วยการเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ 5 สมัย

3. เวย์น รูนี่ย์ : แชมป์ยูโรปาลีก2016-17

รูนี่ย์ขายวิญญาณให้ทีมปีศาจแดงตั้งแต่อายุ 18 ปี เพียงนัดแรกที่ลงสนามเจ้าหนูค่าตัว 25.6 ล้านปอนด์ก็ยิงแฮตทริกได้ทันทีโดยมี เฟเนร์บาห์เช่ เป็นเหยื่อในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากนั้นศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษก็ถล่มประตูเป็นว่าเล่นจนกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยจำนวน 253 ประตู นำกองทัพอสูรกวาดแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, แชมป์เอฟเอคัพ 1 สมัย, แชมป์ลีกคัพ 3 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 1 สมัย

ในซีซั่น 2016-17 รูนี่ย์ในวัย 31 ปีมีสภาพร่างกายที่โรยราไปตามกาลเวลา ทั้งความเร็ว ความดุดัน และความเฉียบคมเริ่มถดถอยลง มีเพียงความแม่นยำในการเปิดบอลเท่านั้นที่ยังใช้การได้ดีอยู่ ทำให้กัปตันรูนี่ย์ต้องปรับบทบาทมาเล่นเป็นมิดฟิลด์อยู่บ่อยครั้ง หลังปิดฉากฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ลีกคัพและแชมป์ยูโรปาลีกรูนี่ย์เลือกย้ายกลับไปเล่นให้กับเอฟเวอร์ตันอีกครั้ง ปิดฉากชีวิตในรั้วโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดไว้ที่ 13 ฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ 16 รายการ

การจากไปของทั้งสามคนส่งผลต่อสโมสรเก่าของพวกเขาอย่างมาก เชลซีขาดจอมทัพที่คอยสร้างสรรค์เกมบุก, เรอัล มาดริดขาดเครื่องจักรผลิตสกอร์ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขาดนักเตะที่ทุ่มเทเกินร้อยให้กับทีม ทำให้เหล่าแฟนคลับยังคงคิดถึงพวกเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้

เครดิตภาพ: https://i.insider.com/5b44e5aa0eb2be34008b4e5c?width=1100&format=jpeg

ฟุตบอลต่างประเทศ

จอห์น เทอร์รี่ กัปตันผู้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด

กัปตันทีมที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดคือใครกัน ? แม้ รอย คีน จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถึง 7 สมัย แต่มิดฟิลด์ชาวไอริชสวมปลอกแขนกัปตันทีมระหว่างชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกไปเพียง 4 ครั้ง ในขณะที่ แวงซองต์ กอมปานี กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พาทีมเรือใบเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกทั้งหมด 4 หน ทำให้ จอห์น เทอร์รี่ กลายเป็นกัปตันทีมที่พาต้นสังกัดเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด จากการนำทัพเชลซีเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 5 สมัย

จอห์น เทอร์รี่เข้าร่วมทีมเยาวชนของเวสต์แฮม ยูไนเต็ดเมื่ออายุได้ 11 ปี หลังจากนั้น 3 ปีเขาจะย้ายไปเป็นสมาชิกทีมเยาวชนของเชลซี จนกระทั้งในปี 1998 จึงได้รับโอกาสลงสนามครั้งแรกให้ทีมสิงโตน้ำเงินครามชุดใหญ่ในศึกลีกคัพ ก่อนจะกลายเป็นปราการหลังตัวหลักของทีมเคียงข้างรุ่นพี่กัปตันทีมอย่างมาร์กแซล เดอไซญี่ในเวลาต่อมา

เทอร์รี่ได้รับโอกาสสวมปลอกแขนกัปตันทีมสิงห์บลูครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2001 ในเกมพรีเมียร์ลีกกับชาร์ลตัน แอธเลติก ซึ่งนัดนั้นเชลซีมาเสียประตูช่วงท้ายเกมจนพ่ายแพ้ไป ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือชาวอิตาลีได้แต่งตั้งให้กองหลังทีมชาติอังกฤษเป็นรองกัปตันทีม คอยทำหน้าที่แทนกัปตันเดอไซญี่ที่มักหลุดจากทีมบ่อยครั้งในช่วงหลัง จนกระทั้งในฤดูกาล 2004-05 เมื่อกองหลังกัปตันชาวฝรั่งเศสหมดสัญญาแล้วออกจากทีมไป ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างโชเซ่ มูรินโญ่ ก็ได้แต่งตั้งเทอร์รี่ขึ้นเป็นกัปตันทีมอย่างเป็นทางการ นับเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของเชลซี

เพียงฤดูกาลแรกในบทบาทกัปตันทีมตัวจริง เทอร์รี่ได้รับมอบหมายให้ยืนเป็นปราการหลังตัวหลัก โดยมีวิลเลี่ยม กัลลาส และริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ สลับกันมาเป็นคู่หู จนเสียประตูในลีกทั้งฤดูกาลไปเพียง 15 ประตู ช่วยให้เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกไปครองได้ในที่สุด แถมเทอร์รี่เองยังครองตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีกจากการโหวตของเพื่อนนักเตะ ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมากัปตันเทอร์รี่จะนำทีมป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย

แชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 3 ของเทอร์รี่เกิดขึ้นในฤดูกาล 2009-10 โดยมีคะแนนเฉือนชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพียงแต้มเดียว ซึ่งกองหลังกัปตันทีมพลาดลงสนามไปเพียงแค่นัดเดียว ส่วนแชมป์สมัยที่ 4 เกิดขึ้นหลังจากมูรินโญ่กลับมาคุมทีมอีกครั้งในซีซั่น 2014-15 ซึ่งช่วยให้เชลซีกลับไปเป็นทีมที่เสียประตูยากจนแพ้ไปแค่ 3 เกม ตามมาด้วยแชมป์สมัยที่ 5 ในฤดูกาล 2016-17 แม้เทอร์รี่จะลงสนามในเกมลีกไปแค่ 9 นัด แต่เขาก็ได้ยังได้สิทธิเป็นคนแรกของทีมที่ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ฤดูกาลนั้น เอาเป็นว่าในยุคนั้นถ้ามีเขานักพนันทั่วโลกก็มั่นใจเทกระเป๋าใส่เชลซีทุกคน

ในช่วงท้ายอาชีพเทอร์รี่มีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด ทำให้หลังหมดสัญญากับเชลซีในปี 2017 เขาจึงตัดสินใจร่วมทีมแอสตัน วิลล่า สโมสรแรกในวัยเด็กที่ขณะนั้นเล่นอยู่ในลีกแชมเปียนชิพเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในที่สุด โดยหยุดสถิติกัปตันแห่งพรีเมียร์ลีกไว้ที่ 5 สมัย

เครดิตภาพ: https://resources.premierleague.com/premierleague/photo/2017/04/17/1e4ea383-a1d1-4ff0-8b32-e3457cba5471/John_Terry_Trophy.jpg

ฟุตบอลต่างประเทศ

ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่ยิงประตูทีมจากพรีเมียร์ลีกมากที่สุดในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก

ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สโมสรจากพรีเมียร์ลีกถือเป็นคู่แข่งที่แต่ละทีมพยายามเลี่ยงที่จะเจอมากที่สุด เนื่องจากทั้ง 4 ทีมจากอังกฤษที่เข้าร่วมการแข่งขันแต่ละฤดูกาลล้วนเป็นทีมใหญ่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซน่อล และท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ซึ่ง Big 6 แห่งเกาะอังกฤษล้วนขึ้นชื่อเรื่องการเสียประตูยากในเวทียุโรป จนศูนย์หน้าชื่อดังหลายคนพากันส่ายหน้า เว้นแต่ “ลิโอเนล เมสซี่” คนเดียวเท่านั้นที่ยิงเอา ๆ จนกลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูทีมจากพรีเมียร์ลีกได้มากที่สุดในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และนี่คือจำนวนประตูที่ดาวยิงอาเจนไตน์ทำได้ในการดวลกับสโมสรจากอังกฤษ

                ลิเวอร์พูล : 2 ประตู

เมสซี่ เคยดวลกับลิเวอร์พูลทั้งหมด 4 ครั้ง ในฤดูกาล 2006-07 รอบ 16 ทีมสุดท้าย และฤดูกาล 2018-19 รอบรองชนะเลิศ ต่างฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะฝ่ายละ 2 ครั้ง ซึ่งทั้งสองประตูที่ดาวยิงบาร์เซโลน่าทำได้เกิดขึ้นในเกมรอบรองชนะเลิศนัดแรก ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะไปด้วยสกอร์ 3-0

                ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ : 2 ประตู

เมสซี่ เจอกับทีมไก่เดือยทองเพียง 2 ครั้งในรอบแบ่งกลุ่มฤดูกาล 2018-19 โดยนัดแรกที่เจอกันกัปตันเมสซี่ยิง 2 ประตูช่วยให้บาร์ซ่าเอาชนะไปได้ 4-2 ก่อนที่จะทำได้เพียงแค่เสมอ 1-1 ในนัดที่สอง

                เชลซี : 3 ประตู

เชลซีเป็นทีมจากอังกฤษที่โคจรมาเจอกับเมสซี่บ่อยที่สุดถึง 10 ครั้ง แต่ทั้ง 8 ครั้งแรกเมสซี่ไม่สามารถยิงประตูทีมสิงห์บลูได้เลย จนกระทั้งเมื่อฤดูกาล 2017-18 ทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในนัดแรกเมสซี่เป็นคนไล่ยิงประตูตีเสมอช่วงท้ายเกม ก่อนในนัดที่สองซูเปอร์สตาร์อาร์เจนติน่าจะยิง 2 จ่าย 1 ช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

                แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 4 ประตู

ในการเจอกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทั้ง 6 นัด เมสซี่เอาชนะไปได้ถึง 4 เกม โดย 2 ประตูแรกที่ยิงใส่ปีศาจแดงเกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง จากฤดูกาล 2008-09 และ 2010-11 ซึ่งบาร์เซโลน่าเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปครอง ก่อนจะมายิงอีก 2 ประตูในฤดูกาล 2018-19 รอบก่อนรองชนะเลิศนัดที่ 2 เป็นการย้ำชัย

                แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 6 ประตู

เมสซี่ยิงได้ 6 ประตู จาก 6 เกมที่เจอกับทีมเรือใบสีฟ้า โดยเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 5 นัด และแพ้เพียงนัดเดียว ซึ่ง 2 ประตูแรกเกิดขึ้นใน 2 นัดแรกที่พบกันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายฤดูกาล 2013-14 ก่อนจะมายิงแฮตทริกในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มฤดูกาล 2016-17 และปิดท้ายอีก 1 ประตูในนัดที่สอง

                อาร์เซน่อล : 9 ประตู

อาร์เซน่อลเป็นทีมจากอังกฤษที่เมสซี่ยิงประตูได้มากที่สุด จากทั้ง 6 เกมที่พบกัน ในซีซั่น 2009-10 รอบก่อนรองชนะเลิศนัดที่สอง เมสซี่ยิงคนเดียว 4 ประตูให้บาร์ซ่าเอาชนะไปได้ 4-1 ก่อนจะมายิงอีก 2 ประตูในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดที่สองของฤดูกาลถัดมา แล้วปิดท้ายอีก 3 ประตูในรอบ 16 ทีมสุดท้ายฤดูกาล 2015-16

ประตูที่ลิโอเนล เมสซี่ยิงทั้ง 6 ทีมจากพรีเมียร์ลีก เป็น 26 ลูกจากทั้งหมด 114 ประตูที่ดาวซัลโวแห่งแคว้นคาตาลันยิงได้ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ช่วยให้บาร์เซโลน่าไม่เคยต้องกังวลในการจับฉลากประกบคู่แม้สักครั้งเดียว

เครดิตภาพ: https://images.beinsports.com/RD8gGAasKy6PEMIAOmCDtsWXews=/full-fit-in/1000×0/lionel-messi_r5mm6naa5pxz1s72iomewaycq.jpg

ฟุตบอลต่างประเทศ

นักเตะตำนาน One Man Club แห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

การปั้นนักเตะเยาวชนสักคนขึ้นมาเป็นกำลังของทีมนับเป็นสิ่งที่ยากแล้ว แต่การรักษานักเตะคนนั้นให้อยู่กับทีมไปตลอดกลับเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า เมื่อตำแหน่งแชมป์เป็นสิ่งล่อใจให้เหล่าตัวนักเตะเลือกย้ายทีมสู่สโมสรใหญ่ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า ดังนั้นการเป็น One Man Club หรือนักเตะที่เล่นให้กับสโมสรเดียวจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน ไม่เว้นแม้แต่สโมสรอังกฤษที่เคยได้ชื่อเป็นลีกอนุรักษ์นิยมที่เน้นการใช้นักเตะเยาวชนเป็นหลัก และด้วยจำนวน One Man Club ที่มีอยู่น้อยนิดจึงทำให้พวกเขาเหล่านี้กลายเป็นตำนานแห่งพรีเมียร์ลีก

                1. ไรอัน กิ๊กซ์ : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1991-2014

นับตั้งแต่ถูกส่งลงสนามในเกมพบกับเอฟเวอร์ตันเมื่อปี 1991 ไรอัน กิ๊กซ์ ก็กลายมาเป็นกำลังสำคัญในการไล่ล่าแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอดทั้ง 24 ฤดูกาลในชีวิตค้าแข้งกับปีศาจแดงเพียงทีมเดียว ปีกจรวดสัญชาติเวลส์ลงสนามในเครื่องแบบอสูรไปทั้งสิ้น 963 นัด มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร กวาดแชมป์รวมทั้งสิ้น 34 รายการ ซึ่งในนั้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 13 สมัย นอกจากนั้นกิ๊กซ์ยังเป็นนักเตะคนแรกที่ลงเล่นพรีเมียร์ลีก 22 ฤดูกาล และเป็นนักเตะคนเดียวที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 21 ฤดูกาลติดต่อกัน อีกทั้งยังเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 163 แอสซิสต์ จนกลายเป็นนักเตะไอคอนของพรีเมียร์ลีก

                2. โทนี่ อดัมส์ : อาร์เซน่อล 1983-2002

โทนี่ อดัมส์ ยืนคุมหลังบ้านให้อาร์เซน่อลมาตั้งแต่สมัยดิวิชั่น 1 จนถึงยุคพรีเมียร์ลีก ตลอดทั้ง 19 ฤดูกาลเซ็นเตอร์แบ็กชาวอังกฤษรับใช้ทีมปืนใหญ่ไปทั้งสิ้น 669 นัด มากเป็นอันดับสองของสโมสร โดยสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 4 สมัย และแชมป์บอลถ้วยอีก 6 ครั้ง จนถูกรับเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมแห่งศตวรรษของฟุตบอลอังกฤษ ต่อมาในปี 2011 อาร์เซน่อลได้ตั้งรูปปั้นอดัมส์ไว้ข้างสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อเป็นเกียรติแก่กัปตันยุครุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา

                3. เจมี่ คาร์ราเกอร์ : ลิเวอร์พูล 1997-2003

เจมี่ คาร์ราเกอร์ เป็นชาวเมอร์ซี่ไซด์ตั้งแต่กำเนิด แม้ในวัยเด็กเขาจะเป็นแฟนบอลเอฟเวอร์ตันตามผู้เป็นพ่อ แต่เมื่อต้องเลือกเส้นทางอาชีพนักเตะกองหลังชาวอังกฤษได้เลือกเล่นให้ลิเวอร์พูล ในช่วงแรกคาร์ราเกอร์เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็ก ก่อนที่ราฟา เบนิเตซจะเป็นคนโยกให้เขามารับตำแหน่งปราการหลังตัวกลางจนกลายเป็นตำนานของสโมสรในตำแหน่งนี้ ตลอดทั้ง 737 นัดใน 17 ฤดูกาลกับทีมหงส์แดง แม้ไม่อาจพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่คาร์ราเกอร์ก็ช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ถึง 11 รายการ ซึ่งหนึ่งในนั้น ได้แก่ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล

ในปัจจุบันมีนักเตะหลายคนที่ก้าวจากนักเตะเยาวชนขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ไม่ว่าจะเป็นมาร์คัส แรชฟอร์ด, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย หรือฟิล โฟเด้น คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีใครสืบทอดตำนาน One Man Club ต่อจากนักเตะตำนานทั้งสามได้หรือไม่

เครดิตภาพ: https://images2.minutemediacdn.com/image/upload/c_fill,w_912,h_516,f_auto,q_auto,g_auto/shape/cover/sport/589c622445056ff31f000001.jpg

ฟุตบอลต่างประเทศ

คาร์เลส ปูโยล กัปตันผู้พาบาร์เซโลน่าคว้า 6 แชมป์ในปีเดียว

คาร์เลส ปูโยล ได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งทีมบาร์เซโลน่า จากการเป็นนักเตะที่ค้าแข้งกับทีมเจ้าบุญทุ่มเพียงสโมสรเดียว นอกจากนั้นยังได้ชื่อว่าเป็นกัปตันที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพาทีมจากแคว้นคาตาลันคว้า 6 แชมป์ในปีเดียว

หลังก้าวจากทีมเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่าได้อย่างเต็มตัวในยุคของหลุยส์ ฟาน กัลป์ เมื่อปี 1999 ปูโยลก็กลายเป็นกำลังสำคัญในแนวรับของบาร์ซ่าทันที โดยเริ่มต้นด้วยตำแหน่งแบ็กขวา ก่อนจะถูกโยกมาเล่นเซ็นเตอร์แบ็กจนกลายเป็นตำแหน่งสร้างชื่อในที่สุด ในช่วง 5 ฤดูกาลแรกของปูโยลกับบาร์ซ่า ถือเป็นช่วงที่ไร้ความสำเร็จใด ๆ จนกระทั้งในปี 2004 ปูโยลได้รับการแต่งตั้งจากแฟรงค์ ไรจ์การ์ดให้เป็นกัปตันทีมต่อจากหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่เพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดไป ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของบาร์เซโลน่า

เพียงฤดูกาลแรกที่ได้รับตำแหน่งกัปตันทีม ปูโยลก็สามารถเดินนำลูกทีมขึ้นรับถ้วยแชมป์ลาลีกาได้ในทันที ก่อนที่พาบาร์ซ่าพุ่งเข้าชนใส่ความสำเร็จจนได้สิทธิเป็นคนแรกในการชูถ้วยแชมป์ถึง 18 รายการเมเจอร์ ซึ่งในนั้นรวมถึงแชมป์ลาลีกา 6 สมัย, แชมป์โคปา เดลเรย์ 2 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปูโยลเกิดขึ้นในปี 2009 เมื่อปราการหลังทีมชาติสเปนนำทัพบาร์ซ่าชูถ้วยแชมป์ได้ถึง 6 รายการใหญ่

เริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ด้วยการเอาชนะแอธเลติก บิลเบา ในรอบชิงชนะเลิศอย่างท่วมท้น 4-1 ต่อด้วยการฉลองแชมป์ลาลีกาหนแรกในรอบ 3 ปี ด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างเรอัล มาดริดถึง 9 แต้ม หลังจากนั้นไม่กี่วัน ปูโยลและลูกทีมก็สามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นการปิดท้ายซีซั่น 2008-09 อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์แห่งยุโรปเป็นทีมแรกของสเปน จากนั้นก่อนเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ ก็ถึงคิวศึกซูเปอร์โคปา ซึ่งบาร์ซ่าก็ย้ำแค้นแอธเลติก บิลเบา คว้าแชมป์ใบที่ 4 ในรอบปีไปครอง ตามมาด้วยการลงทำศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ พบกับชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค แชมป์ยูฟ่าคัพปีที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นบาร์เซโลน่าที่เอาชนะไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ปิดท้ายด้วยแชมป์สโมสรโลกที่เอาชนะเอสตูเดียนเตสในรอบชิงชนะเลิศในช่วงต่อเวลาพิเศษอีกครั้ง

นอกจากจะเป็นผู้นำความสำเร็จมากมายสู่คัมป์ นูแล้ว คาร์เลส ปูโยลยังได้รับการยกย่องอย่างมากในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อบาร์เซโลน่า ในช่วงที่บาร์เซโลน่ายังห่างจากการเป็นแชมป์ เขามีโอกาสย้ายไปประสบความสำเร็จในต่างแดนกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ครองเจ้าแห่งเกาะอังกฤษ แต่ปราการหลังจอมแกร่งก็บอกปัดข้อเสนออย่างไม่ใยดี หรือแม้แต่การปฏิเสธคำชวนของเรอัล มาดริด ทีมร่วมลีกที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องทั้งระดับประเทศและระดับทวีป ทำให้ปูโยลยังคงเป็นกัปตันทีมในดวงใจของแฟนบอลบาร์ซ่าแม้จะอำลาทีมมานานแล้วก็ตาม

เครดิตภาพ : https://editorial.uefa.com/resources/0238-0e9695baec86-f50f4e36eee1-1000/carles_puyol_celebrates_after_winning_the_uefa_champions_league_with_barcelona_in_2009.jpeg

ฟุตบอลต่างประเทศ

ยอดนักเตะที่คุณอาจลืมไปแล้วว่าเคยเล่นให้กับยูเวนตุส

ยูเวนตุส คือสโมสรในอิตาลีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จากการเป็นแชมป์เซเรียอา 35 สมัย, แชมป์โคปปา อิตาเลีย 13 สมัย และแชมป์ยุโรปทุกรายการอีก 9 สมัย นับตั้งแต่อดีตมีนักเตะซูเปอร์สตาร์หลายคนย้ายมาสร้างชื่อและคว้าแชมป์มากมายกับทีมม้าลาย ไม่ว่าจะเป็นซีเนดีน ซีดาน, พาเวล เนดเวด, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ หรือแม้แต่จานลุยจิ บุฟฟ่อน แต่ก็มีนักเตะชื่อดังจำนวนไม่น้อยที่ย้ายมาล้มเหลวในเครื่องแบบลายทางขาวดำ จนแฟนบอลอาจจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่แห่งตูริน

นิโกล่าส์ อเนลก้า

ศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศสประสบความสำเร็จอย่างมากสมัยเล่นในอังกฤษ ด้วยการพาสองยักษ์แห่งเมืองหลวงทั้งอาร์เซน่อล และเชลซีเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก นอกจากนั้นยังคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกร่วมกับเรอัล มาดริด รวมถึงแชมป์ลีกตุรกีกับเฟเนร์บาห์เช่ แต่สำหรับชีวิตในอิตาลีกลับแตกต่างอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

อเนลก้า ย้ายมาร่วมทีมยูเวนตุสด้วยสัญญายืมตัวในช่วงซัมเมอร์ปี 2013 โดยอันโตนิโอ คอนเต้หวังใช้ประสบการณ์ของเขาทดแทนการจากไปของเดล ปิเอโร่ แต่ตลอดระยะเวลา 5 เดือน ดาวยิงเมืองน้ำหอมลงเล่นในฐานะตัวสำรองไปเพียง 3 นัด แม้ท้ายที่สุดอเนลก้าจะได้ชื่อว่าคว้าแชมป์เซเรียอากับยูเวนตุส แต่เขากลับมีส่วนร่วมในสนามแค่ 51 นาทีเท่านั้น

ลูซิโอ

ปราการหลังทีมชาติบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 คว้าดับเบิ้ลแชมป์ของเยอรมันถึง 3 สมัยในระยะเวลา 5 ปีที่เล่นให้กับบาเยิร์น มิวนิค ก่อนจะย้ายมาอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2009 และเป็นกำลังหลักช่วยให้ทีมงูใหญ่คว้าแชมป์เซเรียอา, แชมป์โคปปา อิตาเลีย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และแชมป์สโมสรโลก

ลูซิโอย้ายจากอินเตอร์มาร่วมทีมยูเวนตุสช่วงซัมเมอร์ปี 2012 โดยได้โอกาสประเดิมเกมแรกในศึกซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนาทันที แต่เมื่อศึกเซเรียอาเริ่มต้นขึ้นเซ็นเตอร์แบ็กดีกรีแชมป์โลกกลับเป็นได้แค่ตัวสำรอง ซึ่งมีโอกาสลงสัมผัสเกมลีกแค่นัดเดียว ก่อนทั้งตัวนักเตะและสโมสรจะบรรลุข้อตกลงยกเลิกสัญญากันในเดือนธันวาคม 2012

อันโตนิโอ คันเดรว่า

ก่อนที่ปีกวัย 33 ปีจะสร้างชื่อกับลาซิโอด้วยการเป็นแชมป์โคปปา อิตาเลีย 2012-13 และกลายมาเป็นปีกตัวหลักของอินเตอร์ มิลานในปัจจุบัน คันเดรว่าเคยเป็นสมาชิกทีมม้าลายมาก่อนด้วยสัญญายืมตัวจากอูดิเนเซ่ โดยมีออฟชั่นซื้อขาดพ่วงมาด้วย ซึ่งปีกดาวรุ่งในขณะนั้นถูกส่งลงสนามไปทั้งสิ้น 20 นัด ทำได้เพียง 2 ประตู ยูเวนตุสจึงเลือกส่งคืนตัวให้ต้นสังกัดแทนที่จะรั้งเอาไว้ด้วยสัญญาถาวร

นอกจากฝีเท้าแล้ว การเลือกอยู่กับทีมในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเตะประสบความสำเร็จกับสโมสรนั้น ๆ ทั้งสามคนจึงพังไม่เป็นท่าเมื่อเลือกย้ายมาอยู่กับยูเวนตุสผิดเวลา

เครดิตภาพ: https://icdn.caughtoffside.com/wp-content/uploads/2013/02/Anelka-Juventus.jpg

ฟุตบอลต่างประเทศ

เมาโร อิคาร์ดี้ กับอนาคตที่กำลังจะพังอีกครั้งด้วยน้ำมือของภรรยาตัวเอง

อนาคตค้าแข้งของ เมาโร อิคาร์ดี้ กลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากโชว์ผลงานการยิงประตูอย่างถล่มทลายให้กับปารีส แซงต์-แชร์กแมงในฤดูกาลนี้ จนมีข่าวว่าเปแอสเชเตรียมจับเซ็นสัญญาร่วมทีมเป็นการถาวรในเร็ววัน เพื่อกันท่าสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่นที่กำลังหาโอกาสตีท้ายครัว แต่แล้วทุกอย่างก็ทำท่าจะพังทลายลงด้วยผลงานนอกสนามของวานด้า นารา ภรรยาที่รับหน้าที่เอเย่นต์ส่วนตัวให้กับดาวยิงอาร์เจนไตน์

อิคาร์ดี้ ย้ายมาร่วมทีมปารีส แซงต์-แชร์กแมงด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาลในวันสุดท้ายก่อนที่ตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์จะปิดตัวลง หลังจากนั้นดาวซัลโวเลือดฟ้าขาวก็ระเบิดฟอร์มฮอตยิงประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจนกลายเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าเบอร์หนึ่งของทีม จนเอดิสัน คาวานี่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนม้านั่งสำรอง อิคาร์ดี้ประสานงานร่วมกับ คิลิยัน เอ็มบาปเป้ และอังเคล ดิ มาเรีย ได้อย่างลงตัว โดยยิงประตูไปทั้งสิ้น 20 ลูก จากการลงสนาม 31 นัดในทุกรายการ จนผู้บริหารของเอแอสเชเตรียมใช้ออฟชั่นเซ็นสัญญาถาวรมูลค่า 70 ล้านยูโร แต่แล้ววานด้า นารา ภรรยาสาวที่ควบตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวกลับให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าอิคาร์ดี้ต้องการย้ายกลับอิตาลีอีกครั้งหลังหมดสัญญาเช่าในลีกเอิง โดยคาดว่ามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ยูเวนตุส หรือไม่ก็เอซี มิลาน ส่งผลให้การเจรจาต่าง ๆ ต้องยุติลง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอเย่นต์ส่วนตัวของดาวยิงทีมชาติอาร์เจนติน่าให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้ เมื่อครั้งที่อิคาร์ดี้ยังเป็นดาวซัลโวของอินเตอร์ มิลาน วานด้าถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาของทีมเนรัซซูรี เนื่องจากเธอมักจะให้สัมภาษณ์เรื่องการย้ายทีมของสามีไปยังสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปอยู่เป็นประจำ ส่งผลให้การเซ็นสัญญาฉบับใหม่ระหว่างอิคาร์ดี้กับทีมงูใหญ่ไม่คืบหน้า ทั้งที่สัญญาของเขากำลังจะหมดลงในอีก 2 ปี จนนำไปสู่การริบปอกแขนกัปตันทีมจากอิคาร์ดี้ ซึ่งดาวยิงเจ้าปัญหาก็ตอบโต้ด้วยการปฏิเสธลงสนามในศึกยูโรป้าลีก โดยให้เหตุผลว่ามีอาการบาดเจ็บ ทำให้ทีมขาดผู้เล่นตำแหน่งศูนย์หน้าจนต้องส่งเด็กเยาวชนลงสนามแทน และตกรอบในเวลาต่อมา เรื่องราวทั้งหมดคาราคาซังจนกระทั้งอินเตอร์เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็นอันโตนีโอ คอนเต้ โดยทันทีที่เข้ารับตำแหน่งกุนซือจอมเฮี้ยบได้ประกาศชัดเจนว่าอิคาร์ดี้ไม่อยู่ในแผนทำทีมของเขา ส่งผลเกิดเป็นสัญญายืมตัวมายังฝรั่งเศสในที่สุด

คงต้องรอดูว่าท้ายที่สุดผู้บริหารของทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองน้ำหอมจะตัดสินใจอย่างไรต่ออนาคตของอิคาร์ดี้ในถิ่นปาร์ค เดส์ แปร็งส์ เพราะถึงแม้ดาวยิงจะมีปัญหานอกสนามรุมเร้า แต่ฟอร์มในสนามของเขาก็ไม่เคยตกลงไปเลย แถมล่าสุด เปาโล สกาโรนี ประธานสโมสรเอซี มิลานเพิ่งจะแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการได้ตัวอิคาร์ดี้มาร่วมทีม หากซลาตัน อิบราฮิโมวิช อำลาทีมหลังจบฤดูกาล

เครดิตภาพ: https://www.soccerhighlights.net/wp-content/uploads/2019/10/19337700-7541303-image-a-71_1570294009058.jpg

ฟุตบอลต่างประเทศ

บรูโน่ เฟอร์นานเดส กับ พอล ป็อกบา จะเล่นร่วมกันในทัพปีศาจแดงได้หรือไม่ ?

การย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงตลาดนักเตะหน้าหนาวที่ผ่านมาของ บรูโน่ เฟอร์นานเดส ช่วยยกระดับให้แนวรุกทีมปีศาจแดงมีอาวุธหนักทั้งจากลูกตั้งเตะและการยิงไกลนอกกรอบเขตโทษ แถมจอมทัพทีมชาติโปรตุเกสยังสามารถจ่ายบอลให้เพื่อนมีโอกาสลุ้นทำประตูได้บ่อยครั้ง ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดขาดหายไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บของพอล ป็อกบา แต่เมื่อมิดฟิลด์ดีกรีแชมป์โลกกลับมาฟิตพร้อมลงสนามอีกครั้งจึงเกิดเป็นคำถามในหมู่แฟนบอลเรด อาร์มี่ว่าทั้งคู่จะสามารถเล่นร่วมกันได้หรือไม่ ?

พอล ป็อกบา ถือเป็นนักเตะปีศาจแดงที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2018-19 แม้หลายนัดกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสจะโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่สถิติทั้งฤดูกาลก็บ่งบอกว่าเขาคือนักเตะผู้แบกทีมตัวจริงเสียงจริง ด้วยการเป็นนักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในทีม 13 ประตู, แอสซิสต์มากที่สุดในทีม 9 ครั้ง, ยิงตรงกรอบมากที่สุดในทีม 50 ครั้ง, เลี้ยงผ่านคู่แข่งมากที่สุดในทีม 60 ครั้ง, เรียกฟาวล์มากที่สุดในทีม 69 ครั้ง, แย่งบอลคืนมากที่สุดในทีม 218 ครั้ง, จ่ายบอลเข้าพื้นที่อันตรายมากที่สุดในทีม 321 ครั้ง และสร้างสรรค์โอกาสทำประตูมากที่สุดในทีม 55 ครั้ง เป็นผลให้เมื่อทีมต้องขาดป็อกบาไปด้วยอาการบาดเจ็บยาวตั้งแต่ต้นฤดูกาล เกมบุกของปีศาจแดงจึงไร้พิษสง ถึงขนาดที่บางนัดไม่สามารถหาโอกาสยิงตรงกรอบได้เลย จนปีศาจแดงต้องทุ่มซื้อบรูโน่ เฟอร์นานเดส เข้ามาชดเชย ซึ่งเพียงเดือนแรกบรูโน่ก็โชว์สกิลเพลย์เมกเกอร์ทั้งยิงทั้งจ่าย ด้วยผลงาน 3 ประตู 4 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 9 นัด คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์จากทั้งของสโมสรและพรีเมียร์ลีกมาครอง

ด้วยการเป็นนักเตะที่มีหน้าที่สร้างสรรค์เกมรุกเหมือนกัน ทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลว่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะจัดทัพอย่างไรเมื่อป็อกบาหายเจ็บกลับมา เพราะคงเป็นการเสียของหากต้องเลือกดร็อปคนในคนหนึ่งไว้ข้างสนาม หากส่งลงเล่นพร้อมกันก็เกรงจะทับตำแหน่งกันเอง แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่าแม้ทั้งสองคนจะเล่นได้หลายตำแหน่งในแดนกลาง แต่ตำแหน่งที่ดีที่สุดของทั้งคู่เป็นการยืนคนละตำแหน่งกัน

บรูโน่จะแสดงศักยภาพได้ดีที่สุดยามสวมบทมิดฟิลด์ตัวรุกคอยสนับสนุนอยู่หลังศูนย์หน้าตัวเป้าในตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 10 ที่คอยทำชิ่งหาโอกาสเข้าทำ หรือไม่ก็ใช้จังหวะแทงบอลทะลุช่องเข้าในกรอบเขตโทษให้กองหน้าจบสกอร์ ในขณะที่ป็อกบาอันตรายที่สุดเมื่อยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางในตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 8 ที่คอยตัดเกมคู่แข่ง และคุมจังหวะการเล่นของทีมในการเปลี่ยนจากรับเป็นรุก รวมถึงหาโอกาสวางบอลยาวตัดหลังคู่เซ็นเตอร์ฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือเป็นทีเด็ดประจำตัวอยู่แล้ว ส่งผลให้หากโซลชายังเลือกใช้แผน 4-3-3 เหมือนที่ผ่านมา กุนซือชาวนอร์เวย์คงต้องเปลี่ยนไปปวดหัวกับการเลือกดร็อปใครดีระหว่างเฟร็ด กับสก็อต แม็คโทมิเนย์ ที่ยืนคู่กันได้อย่างลงตัวมาเกือบทั้งซีซั่น

แม้พฤติกรรมเร่ขายนักเตะของมิโน ไรโอล่า เอเย่นต์ส่วนตัวของป็อกบา จะทำให้แฟนบอลจำนวนไม่น้อยรู้สึกเบื่อหน่ายและต้องการจบปัญหาด้วยการขายป็อกบาออกไปให้พ้นทีม แต่คงเป็นการดีกว่าหากจะลองใช้งานป็อกบาร่วมกับบรูโน่ดูก่อน เพราะหากออกมาเวิร์กก็น่าจะทำให้มิดฟิลด์เมืองน้ำหอมเลิกคิดจะย้ายทีมไปไหน ส่วนถ้าให้ผลตรงกันข้ามก็คงยังไม่สายที่จะเรียกค่าตัวให้สูงเข้าไว้ เพื่อใช้สมทบทุนซื้อผู้เล่นรายใหม่อย่างแจ็ค กรีลิช และจาดอน ซานโช่

เครดิตภาพ: https://i2-prod.dailystar.co.uk/incoming/article21672080.ece/ALTERNATES/s615b/3_Bruno-Fernandes-Paul-Pogba.jpg